วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แจ้งอีกครั้งนะครับ

พอดีเห็นว่ามีคนติดตามเพิ่ม

บล๊อคนี้ไม่ใช้แล้วนะคับ เรื่องอัพเดททั้งหมดอยู่ที่บล๊อคใหม่นะครับ

http://panat.wordpress.com/

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

ประกาศย้ายบล๊อค

ผมใช้เวลาประมาณเที่ยงคืนถึงตีสองกว่าทุกวันเพื่อลองทำบล๊อค ผิดๆถูกๆว่ากันไป จนมันได้รูปร่างออกมาอย่างที่เห็น ผมเลยตัดสินใจย้ายบล๊อคครับ ระบบของอันใหม่น่าจะดีกว่าอันนี้ เพราะผมสามารถกำหนดเองได้ว่าต้องการให้เป็นยังไง มีอะไรบ้าง

ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน ยังไงก็ช่วยติดตามต่อละกันครับ ขอบคุณครับ

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ช่วยม่ายด้ายยยย


ทยอยย้ายไปบล๊อคใหม่ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

แนวคิดการบริหาร

หัวข้อนี้เป็นเรื่องที่ผมสงสัยเป็นการส่วนตัวมานานแล้ว

นั่นคือ ทำไมนักการเมืองมันถึงบริหารประเทศกันไม่ได้

น่าแปลกนะครับ บางคนเคยเป็นผู้บริหารระดับสูงหลายบริษัท บางคนบริหารธุรกิจของตัวเองจนร่ำรวยมหาศาล แต่ทำมพอมาบริหารประเทศดันห่วยแตก

ผมลองศึกษาเรื่องนี้ซักพักก็พบว่าน่าจะได้คำตอบ(จากความคิดผมนะ)

คำตอบนี้มาสามารถใช้ตอบปัญหาจากการบริหารได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นบริหารประเทศ องค์กร หน่วยงาน ครอบครัว.....ฯลฯ ใช้ได้หมด

คำตอบที่ผมได้คือ การบริหารมันมี 2 ประเภท

1. แนวคิดบริหารจากบนลงล่าง
2. แนวคิดการบริหารจากล่างขึ้นบน

แนวคิดการบริหารจากบนลงล่าง คือการที่คนๆหนึ่งหรือคนกลุ่มหนึ่ง พูดง่ายๆว่าคนจำนวนน้อย มารวมกันเพื่อกำหนดแนวทางการบริหาร

ซึ่งมันผิด และเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ และเป็นเรื่องที่คนทำกันมากที่สุด

เช่น การบริหารประเทศที่เป็นอยู่ คือคนกลุ่มหนึ่งออกกฎหมายเพื่อมากำหนดให้คนทั้งประเทศทำตาม ผมถามว่า ไอ้คนกลุ่มนั้นมันเป็นใครแล้วมันเก่งมาจากไหนถึงรู้ว่าควรออกกฎหมายอะไรที่ใช้กันได้(แบบไม่มีปัญหา) สมมุติพวกมันออกพรบ.ป่าชุมชน ผมถามว่ามันไปรู้ได้ไงว่าคนที่เขาอยู่ในป่าเขามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร และที่สำคัญ กฎหมายที่พวกมึงๆออกกันเนี่ย ทำให้เขาได้รับผลกระทบอะไรบ้าง ร่างกฎหมายเสร็จแล้วพวกมึงๆเคยไปถามคนที่ต้องใช้บ้างหรือไม่

คำตอบคือไม่เคย เพราะมันมีแนวคิดการบริหารจากบนลงล่าง คือคนข้างบนเป็นเทพสวรรค์ คนข้างล่างเป็นช้างม้าวัวควาย จะให้มันทำอะไรก็ได้ กูเห็นว่าอันนี้ดี พวกมึงก็ต้องทำอย่างนี้ พอคนข้างล่างโวยวายว่า เฮ้ย ที่พวกมึงกำหนดมามันใช้ไม่ได้ ไอ้พวกข้างบนมันก็ไม่ฟัง บอกว่าพวกกูเป็นผู้แทน/ผู้บริหาร มีวิสัยทัศน์ไกลกว่า พูดง่ายๆคือคนข้างล่างโง่กว่ามัน คนโง่ก็ต้องทำตามคนฉลาด นี่แหละครับ แนวคิดจากบนลงล่าง

แนวคิดนี้ไม่มีทางประสบความสำเร็จได้(อาจจะได้ชั่วคราวแต่ไม่ยั่งยืน) เพราะไอ้คนคิดมันไม่ได้ทำและไม่เคยทำ แต่มันคิดให้คนอื่นทำ ทั้งๆที่มันก็ไม่เคยทำ งงมั้ยครับ 5555+

แนวคิดที่สองคือแนวคิดจากล่างขึ้นบน คือ การที่คนที่ได้รับผลกระทบ หรือคนที่ปฏิบัติ หรือคนที่เจอปัญหาโดยตรง มาร่วมกันหาข้อสรุปของปัญหาและหาวิธีป้องกันการแก้ปัญหา พูดง่ายๆคือคนที่ทำโดยตรงเป็นคนเสนอนโยบาย เช่น ฝ่ายไอทีของบริษัทบอกว่าเราควรซื้อเครื่องคอมใหม่เนื่องจากคอมเครื่องเก่าไม่รองรับโปรแกรมกราฟฟิกอะไรก็ว่าไป และถ้าซื้อคอมใหม่ คนทำงานจะทำงานได้สะดวกขึ้นและทำให้บริษัทได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ผู้บริหารต้องเชื่อฝ่ายไอทีนะครับ บางคนอาจจะบอก อ่าว แล้วงี้ถ้ามันโกหกเราล่ะ ผมก็จะตอบว่า ปัดโธ่ คุณก็ตรวจสอบสิครับ ถ้ามันพูดขึ้นมาลอยๆก็ไม่ต้องไปฟังมัน แต่ถ้าเค้ามีหลักฐานการใช้งานมาให้คุณดู คุณต้องฟังเค้าครับ ฟังอย่างเดียวไม่พอต้องทำตามด้วย จะมาคิดว่ากูเป็นผู้บริหาร กูเก่งกว่ารู้มากกว่าไม่ได้ เพราะมึงนั่งเซ็นเอกสารทั้งวัน มึงจะมารู้ดีไปกว่าคนที่เค้าทำงานโดยตรงได้ไง ใช่มั้ยครับ

หรือแม้แต่ในครอบครัวก็ตาม ครอบครัวไหนที่พ่อแม่ไม่ฟังลูก บังคับให้ลูกเป็นในสิ่งที่ตัวเองคิด(แนวคิดจาดบนลงล่าง) ครอบครัวนั้นก็มีปัญหา ครอบครัวไหนที่พ่อกับแม่คุยกับลูกด้วยเหตุผล รับฟังลูก ยอมรับความคิดลูก(จากล่างขึ้นบน)แล้วค่อยสอนถ้าเห็นว่ามันไม่ถูก ครอบครัวนั้นก็อบอุ่น

ครูที่บังคับให้ศิษย์คิดเหมือนตัวเอง(บนลงล่าง) ครูคนนั้นก็ไม่ได้การยอมรับนับถือเท่ากับครูคนที่ฟังเหตุผลของนักเรียน(ล่างขึ้นบน) แต่ไม่ใช่ฟังเฉยๆนะครับ ต้องยอมรับและบางครั้งต้องทำตามด้วย

นี่แหละครับ แนวคิดการบริหารที่ผมสรุปได้

ประเทศเราเลิกทาสนานแล้วครับ ทำไมบางคนถึงยังคิดว่าตัวเองเป็นนายทาสอยู่ก็ไม่รู้

หรือเพราะบรรพบุรุษมันเป็นทาส !!!!!

กรรมพันธุ์นะเนี่ย

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ผมทรงใหม่

ตั้งแต่ตัดผมทรงใหม่มา ผมว่าผมได้รู้อะไรขึ้นอีกเยอะเลย

ก่อนจะฟังผมเล่า มาฟังนิทานกันก่อนครับ


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีนกฝูงหนึ่งถูกขังอยู่ในกรงใหญ่

พวกมันถูกขังมานานแสนนานถูกขังตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย..........เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ

อยู่มาวันหนึ่งมีนกสองตัวเล่นต่อสู้กันจนไปชนฝากรงแตก

ฝากรงเปิดออก พวกมันมีโอกาสเป็นอิสระครั้งแรก

นกจำนวนไม่น้อย ต่างตื่นเต้นกกับการออกไปยังโลกภายนอก

หลายตัวต่างบินออกจากกรงอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีอีกหลายตัวที่ยืนซุบซิบกันอยู่ในกรง

ในขณะที่นกกลุ่มหนึ่งได้ออกไปนอกกรงนั้น นกในกรงตังหนึ่งก็พูดขึ้น

"นี่ พวกเจ้าคิดดีแล้วเหรอที่ออกไป เจ้ารู้รึเปล่าว่าโลกภายนอกเป็นเช่นไร มันอันตรายมากกว่าที่เจ้าคิด"

"เจ้าดูสิ" นกในกรงพูดต่อ " พวกเราอยู่แบบนี้กันมาตั้งนานก็ดีแล้ว พวกเราปลอดภัยกันดี ไม่เห็นมีอะไร แล้วลองดูพวกที่ออกนอกกรงสิ บางตัวถูกนายพรานยิงตาย บางตัวก็ถูกเหยี่ยวจับไปกิน เจ้าอยากเป็นแบบพวกมันหรือ คิดดูดีๆนะ"

หลังจากนกในกรงพูดจบ มีนกนอกกรงบางตัวยืนครุ่นคิด หลายตัวบินกลับเข้าไปอยู่ในกรง

นกในกรงตัวนั้นแสดงความพอใจเป็นอย่างยิ่ง แต่แล้วก็หุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของนกนอกกรงตัวหนึ่ง

"ฮ่าๆๆๆๆๆๆ" นกนอกกรงหัวเราะไม่หยุด

"เจ้าหัวเราะอะไร" นกในกรงตะโกน

"ข้าก็หัวเราะพวกเจ้าน่ะสิ และก็หัวเราะเจ้าพวกที่บินเข้ากรงไปด้วย 5555+"

"ทำไมรึ พวกเรามีอะไรน่าขำ" นกที่พึ่งบินเข้ากรงตัวหนึ่งพูดขึ้น

"พวกเจ้ารู้จักทะเลมั้ย" นกนอกกรงถาม

"รู้สิ" นกในกรงตอบ

"แล้วพวกเจ้าเคยเห็นทะเลมั้ย" นกนอกกรงถามต่อ

นกในกรงทั้งหมดสั่นศรีษะ

"พวกเจ้าไม่เคยเห็นทะเล ไม่เคยเห็นภูเขา ชีวิตของพวกเจ้าเห็นแต่กรงเท่านั้น พวกเจ้าอาจจะพอใจที่ได้อยู่ที่เดิมๆ กับคนเดิมๆ กับกิจวัตรเดิมๆ กับเรื่องเดิมๆ แต่ไม่ใช่ข้า ถึงแม้อยู่ข้างนอกมันอาจจะเสี่ยงกับนายพราน แต่การอยู่ในกรงจะทำให้พวกเจ้าเป็นอมตะหรือไม่ ซักวันนึงพวกเจ้าก็ต้องตาย ข้าเองก็ต้องตาย แต่ก่อนตาย ข้าอยากตายโดยที่ได้เห็นทะเล ภูเขา ต้นไม้ ข้าไม่อยากตายโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย

สำหรับเจ้าพวกที่บินกลับเข้าไปในกรงนี่ยิ่งตลกใหญ่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมพวกอยู่ในกรงถึงอยากให้เจ้ากลับมานัก สาเหตุก็เพราะ

พวกมันไม่มีความกล้าที่จะออกนอกกรงน่ะสิ

พวกมันต่างกลัวสารพัด ไม่กล้าคิด ไม่กล้าตัดสินใจ สุดท้ายพวกมันก็ตายไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไร พอมันเห็นพวกเจ้าบินออกจากกรง พวกมันต่างบอกตัวเองว่าเจ้ากล้า ในใจมันบอกตัวเองตลอกเวลาว่า เจ้ากล้ากว่ามัน และมันเป็นคนขี้ขลาด มันรับเรื่องนี้ไม่ได้

เพราะความกล้าของเจ้าไปสะท้อนปมด้อยของมันอย่างจัง

มันจึงหาเหตุผลมาทำให้เจ้ากลับไปอยู่ในกรงเหมือนมัน น่าเสียดายที่พวกเจ้ากล้าออกนอกกรงซะป่าว แค่คำทักท้วงคำเดียวก็ลากพวกเจ้าเข้ามาอยู่ในกรงได้แล้ว ข้าถึงตลกพวกเจ้าไงล่ะ 555555+"

หลังจากพูดจบมันก็บินออกไปไกลสุดไกล และนกตัวอื่นก็ค่อยๆบินตามมันออกไปทีละตัวสองตัว

แต่ก็ยังมีนกที่ยังยอมอยู่ในกรง นกพวกนี้จับกลุ่มหาเหตุผลสารพัดเพื่อยืนยันว่าตัวเองถูก แต่พวกมันต่างปฏิเสธไม่ได้ว่า คำพูดของนกนอกกรงตัวนั้นแทงใจดำมันอย่างจัง

ใช่แล้ว พวกมันเองก็อยากออกนอกกรงเหมือนกัน แต่พวกมันไม่กล้าออกไป เวลามีนกตัวอื่นแวะมาหา มันรู้สึกอิจฉาในใจที่ได้ฟังนกตัวอื่นคุยถึงสถานที่ต่างๆ

จบแล้วครับ


เอ๊ ผมว่าจะเล่าเรื่องทรงผมใหม่ซะหน่อย ทำไมตอนนี้รู้สึกเหมือนไม่อยากเล่าขึ้นมาซะงั้น

เพราะนิทานหรือเปล่าน้อ

ไม่ใช่มั้ง

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์

ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าเรื่องนี้เป็นนิทาน ขอได้โปรดเชื่อว่าไม่ใช่ผม และถึงจะเชื่อผมก็ไม่ยอมรับ 55555+

เรื่องของเรื่องคือว่า มันมีคนมาโพสในเว็บแห่งหนึ่ง มีข้อความดังต่อไปนี้

ก่อนอื่นดิฉันขอสาบานว่าสิ่งที่ดิฉันพูดเป็นความจริงค่ะ ดิฉันอายุ 25 ปีค่ะ ความสูง 170 ซม. น้ำหนัก 50 กิโล ส่วนสัด 34-24-36 ผมยาว หน้าตาจัดว่าสวยมาก เซ็กซี่ มีรสนิยม ดิฉันอยากจะแต่งงานกับผู้ชายรายได้สักสองแสนบา ทอัพต่อเดือนสักคน คุณอย่าเพิ่งมองฉันโลภนะคะ รายได้ประมาณสองแสนเนี้ยแค่ชนชั้นระดับกลางๆในห้องสินธรหรือวงการตลาดหุ้นเอง ฉันไม่ได้เรียกร้องมากไปใช่ไหมคะ มีใครในพันทิพ ห้องสินธร นี้ที่รายได้เกินสองแสนบ้างคะ พวกคุณแต่งงานไปกันหมดหรือยัง กรุณาช่วยตอบดิฉันทีค่ะ คือดิฉันอยากแต่งงานกับคนรวยๆ อย่างพวกคุณ พวกที่ดิฉันคบด้วยนี่มีแต่พวกธรรมดาๆรายได้อย่างมากไม่เกินสามหมื่นเอง รายได้แค่นี้จะอุตริไปซื้อบ้านแถวสีลมเนี่ย ยังได้แค่มองเลยใช่ไหมคะ ดิฉันมีคำถามดังนี้ค่ะ กรุณาช่วยตอบด้วยนะคะ
1. หลังจากตลาดหุ้นปิด พวกคุณมักไปต่อที่ไหนกันคะ ( ชื่อร้าน , ผับ , fitness, ฯลฯ)
2. ถ้าจะแอบมองสาว คุณจะมองสาววัยไหนคะ
3. ทำไมคนที่แต่งงานกับคนรวยๆถึงมีแต่พวกอาซิ่มเฉิ่มๆ รสนิยมห่วยๆล่ะคะ
4. คุณใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการเลือกคนที่คุณจะแต่งงานด้วยคะ

...........................................................................................................................................................

หลังจากนั้นไม่เกิน 30 นาที ก็มีเมล จากชายหนุ่มคนนึงส่งมาถึงเจ้าหล่อนว่า

: ถึงคุณสุดสวยครับ...

หัวข้อกระทู้ของคุณน่าสนใจมากครับ และคงมีผู้หญิงหลายคนมีคำถามเดียวกันกับคุณ ขออนุญาตตอบคำถามในมุมมองของคนเล่นหุ้นแบบผมนะคับ รายได้ของผมจากการเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และลงทุนในตลาดหุ้นมากว่า 10 ปี อยู่ที่ประมาณห้าแสนบาท ต่อเดือนขาดเหลือนิดหน่อย ซึ่งก็น่าจะผ่านเกณฑ์ของคุณ ดังนั้นผมเชื่อว่าคำตอบของผม น่าจะไม่ทำให้คุณเสียเวลาอ่านนะครับ

จากมุมมองของผมซึ่งเป็นนักธุรกิจ การที่แต่งงานโดยเลือกเฉพาะที่ความสวยเพียงอย่างเดียวนั้น ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลา ด คำตอบนั้นง่ายมาก อธิบายตามตรง จากข้อมูลที่คุณให้มา คุณพยายามจะเน้นจุดแข็งของสินค้าคือ ' ความสวย ' เพื่อแลกกับ ' เงิน '

เมื่อคุณมีความสวย และผมมีเงิน แน่นอนว่ามัน Fair และน่าจะเป็นไปได้กับโอกาสทางธุรกิจที่คุณเสนอแต่ก็ติดปัญหาที่ว่าความสวยของคุณนั้นจืดจางลงทุกวัน

ในขณะที่เงินของผมไม่ได้ไปไหน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร หรือในอีกนัยหนึ่ง รายได้ของผมมีแต่จะเพิ่มทุกปีและเงินของผมก็สามารถนำไปให้ก่อให้เกิดผลตอบแทนงอกเงยขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่คุณไม่ได้สวยขึ้นเมื่อข้ามปี และมีแนวโน้มที่จะลดลงๆ ในแต่ละปีที่ผ่านไปเช่นกัน

ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ คุณคือสินทรัพย์ที่เสื่อมค่า ไม่ได้เสื่อมธรรมดานะ เสื่อมแบบอัตราก้าวหน้า ดังนั้นถ้าความสวยคือสิ่งเดียวที่คุณมี ก็จงคิดต่อว่า 10 ปีข้างหน้าจะทำอย่างไร

นิยามที่เราใช้กันในตลาดหุ้น คือ ทุกๆ การ Trade มี Position การคบกับคุณก็ถือเป็น Position แต่ถ้า Value ของมันลดลง เราจะขายมันทิ้ง ไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะดันทุรังเก็บมันไว้ ซึ่งหมายถึงการแต่งงานที่คุณต้องการ อาจจะแทงใจดำถ้าผมต้องบอกคุณตรงๆอย่างจริงใจว่า ถ้า Value ของ Asset ลดลงเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ขายทิ้ง เราจะ ใช้วิธีการ ' ให้เช่าซื้อ ' แทน

แน่นอนว่าคนที่มีรายได้เกินสองแสนบาทต่อเดือนฉลาดพอ พวกเขาแค่คบคุณ แต่จะไม่แต่งงานกับคุณ

ดังนั้นจึงขอแนะนำคุณอย่างหวังดีว่าคุณควรที่จะหยุดที่จะหาวิธีที่จะได้แต่งงานกับคนรวย และคุณควรที่จะทำให้ตัวเองเป็นคนที่มีรายได้เกินสองแสนบาทแทนซะเอง ซึ่งในทางเทคนิคแล้วน่าจะมีโอกาสมากกว่าการหาคนรวยแต่โง่คนนึง ( รวยธรรมดาอย่างเดียวไม่พอ ต้องโง่พร้อมด้วย) หวังว่าคำตอบนี้จะช่วยคุณได้บ้าง

อย่างไรก็ตามถ้าหากคุณสนใจ option ในบริการ ! ' เช่าซื้อ ' กรุณาติดต่อผม..... เพื่อทำ Bid offer ในโอกาสต่อไป

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

ระบบการศึกษาในอนาคต

ไม่นานมานี้ ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้จัดทำแผนระยะยาว 60 ปี โดยมีการสำรวจความคิดเห็นจากคนหลากหลายสาขาถึงภาพของมหาลัยในอนาคต

มีการแสดงความคิดเห็นหลากหลาย จนกระทั่งตอนนี้ผมเข้าใจว่าคงได้แผนนั้นแล้ว ซึ่งน่าเสียดายมาก เพราะเท่าที่ทราบ มันไม่มีในสิ่งที่มหาวิทยาลัยในอนาคตควรจะมีครับ

มหาวิทยาลัย คือ สถาบันการศึกษา เราไม่ใช่ดีแทค ไม่ใช่ทรูมูฟ ไม่ใช่ซีพี ผมเห็นผู้บริหารหลายคนเข้าใจผิดในเรื่องนี้อย่างมาก อาจเป็นไปได้ว่าผู้บริหารเหล่านั้นไปอ่านหนังสือเจอหรือได้เข้าอบรมการบริหารโดยได้วิทยากรของเอกชนมาบรรยาย ทัศนคติจึงกลายเป็นแบบนั้นไปหมด

เราคือสถาบันการศึกษา มีหน้าที่ผลิตประชาชนให้มีความรู้ นี่แหละคือคีย์พ้อยท์ที่เราลืมกัน

สถาบันการศึกษานะครับ จะดูว่าดีหรือไม่ดี ไม่ได้ดูที่ระบบการจัดการองค์กร ไม่ได้ดูที่ระบบHR ไม่ได้ดูที่ระบบKMในองค์กร แต่ดูที่คนที่จบออกมามีคุณภาพหรือเปล่า

ปัจจุบันผมเห็นหน่วยงานการศึกษามากมายที่ตื่นตัวกับระบบการบริหารจัดการ มีการนำเอาการจัดการความรู้ ระบบโบนัส ระบบการบริหารทรัพยากรบุคคล......ฯลฯ เอาเข้ามาใช้แล้วก็ marketing กันตรงนั้นแหละว่าฉันเนี่ย เป็นหน่วยงานที่มีคุณภาพ ได้รับการรับรองอย่างนู้นอย่างนี้

ครับ ผมไม่เห็นมีใครพูดถึงบัณฑิตที่จบซักคนว่ามีความรู้แค่ไหน และที่สำคัญกว่านั้นคือ ความรู้ที่มีน่ะเอาไปใช้ได้มั้ย

(อันนี้แถมนะครับ : คือราชการน่ะต่อให้เอาระบบการจัดการแบบเอกชนมาใช้ยังง มันก็ไม่มีทางเป็น HPO ได้หรอกครับ สาเหตุง่ายๆครับ เงินเดือนไงครับ ปัดโธ่ คุณให้เงินเดือนคนแค่7000กว่าบาท คุณจะเอาอะไรนักหนา คนเรามันต้องกินข้าวนะครับ ในสมัยก่อนที่ก๋วยเตี๋ยวชามละ10บาทน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่ตอนนี้ชามละ30แล้วนะครับ ที่คนเก่งมันไปอยู่เอกชนหมดเพราะเอกชนเค้าเลี้ยงดีครับ เค้าไม่งกเงินเหมือนราชการครับ ถ้าคุณต้องการผลงานเหมือนเอกชน กรุณาให้คุณภาพชีวิตพนักงานเหมือนเอกชนด้วยครับ)

กลับมาที่เรื่องระบบการศึกษากันต่อ

เรื่องการนำความรู้ไปใช้นี่สำคัญมาก ทุกวันนี้เราผลิตคนที่มีความรู้เยอะครับ เยอะมาก เดินกันเต็มถนนไปหมด แต่สงสัยมั้ยครับว่าทั้งๆที่คนมีความรู้เยอะขนาดนี้ ทำไมประเทศเรายังไม่พัฒนาซักที

คำตอบ เพราะการศึกษาเราไม่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติ.........เลย

ผมถามหน่อย ไอ้ที่เรียนๆกันมาเนี่ย เรียนไปทำไมครับ เรียนเพื่อเอาไปใช้ทั้งนั้น แล้วทำไมครับ ทำไมเราไม่ให้ความสำคัญกับการใช้ล่ะครับ ไปให้ความสำคัญกับความรู้อย่างเดียวได้ไง

ผมได้รู้เกี่ยวกับพลังของการปฏิบัติครั้งแรกจากเพื่อนของเฮียผม คือเพื่อนเฮียผมชื่อไก่ จบปวส.ธรรมดานี่แหละ สาขาย้อมผ้า ปัจจุบันทำงานอยู่โรงงานแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการในตำแหน่งหัวหน้า คุมลูกน้องเป็นร้อย และที่สำคัญ ลูกน้องแกส่วนมากเป็นเด็กจบโททั้งนั้น

เรื่องนี้ทำให้ผมประหลาดใจมาก เฮ้ย ได้ไงวะ จบปวส.แม่งเป็นหัวหน้าป.โท

หลังจากนั้นไม่นานผมได้คุยกับเจ้าของโรงงานอีกแห่งชื่อ เจ่กเส่ง แกบอกผมว่ามันเรื่องธรรมดาไม่เห็นน่าแปลก

" เจ่กไม่เคยสนใจหรอกว่าใครมันจะจบอะไรเก่งแค่ไหน ขอแค่มันทำงานให้เราได้ดีก็พอ "

ครับ สำหรับพี่ไก่ ผมก็ทราบมาว่าแกเก๋าจริงๆ มีครั้งนึงเครื่องจักรหยุดทำงาน พวกวิศวะกรที่จบโทมานั่งแก้กับเกือบสิบคนแก้ไม่ได้ นั่งเหงื่อแตกกันอยู่ พี่ไก่แกทำประมาณ20นาทีเครื่องก็ติด เรื่องของเรื่องคือเครื่องจักรมันไม่เสีย แต่วันๆมันปั่นผ้าเยอะทำให้มีผ้าเข้าไปติด พอติดเครื่องมันก็ทำงานไม่ได้ แกแค่เอาที่คีบถ่านมาคีบออกไปแค่นั้นเอง!!!

เรื่องนี้ทำให้ผมสะดุดคิด มันรู้สึกแปลกๆครับ แม่ง เรียนถึงป.โททำไมเรื่องค่นี้แก้ไม่ได้ แต่เอาล่ะ ไม่เป็นไร

ต่อมา หม่ำ จกม๊ก ทำหนังเรื่องบอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยมและแหยม ยโสธร ได้100ล้านทั้งสองเรื่อง ทั้งสองเรื่องเป็นภาพยนต์คุณภาพดี เอ๊....หม่ำมันเป็นตลกคาเฟ่นี่หว่า มันไม่เคยเรียนการกำกับหนังเลยนี่ แต่มันทำได้100ล้านสองเรื่อง ครับ อย่าว่าแต่ป.โท พวกจบทำหนังป.เอกมีใครทำแบบมันได้บ้าง

สองเรื่องนี้วนเวียนอยู่ในหัวผมเรื่อยมา มันหมายความว่ายังไงที่คนที่การศึกษาดีกว่า จบสูงกว่า แต่ทำงานสู้คนจบต่ำกว่าไม่ได้

สุดท้ายผมก็เข้าใจ ว่าระบบการศึกษาของเรา ไม่ได้สนับสนุนให้คนทำเป็น

และนี่ก็คือสิ่งที่ผมคิดว่า ควรจะเป็นระบบการศึกษาในอนาคตของจริง

ในอนาคต ปริญญากิตติมศักดิ์ต้องให้ง่ายกว่านี้ครับ ทุกวันนี้เราให้ปริญญากิตติมศักดิ์เหมือนแจกซิมมือถือ ให้ไปงั้นๆแหละ เป็นการเชิดชูเกียรติ บอกได้คำเดียวสั้นๆครับ โหลยโท่ยโคตร

คนที่เก่งจริง เป็นที่ยอมรับในการทำงาน สมควรได้ปริญญาโดยไม่ต้องไปเข้าเรียน เช่น บรรดาปราชญ์ชาวบ้าน เป็นต้น (กับเรื่องนี้ผมมีเกร็ดตลกๆมาเล่า เคยมีแนวคิดจากรัฐบาลว่าให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อพิจารณาว่าใครสมควรเป็นปราชญ์ชาวบ้าน อ่านข่าวนี้จบผมหัวเราะก๊าก ไอ้คนคิดนี่มันควรไปไถนาที่สุด ปราชญ์ชาวบ้านนะครับ ต้องเป็นคนที่ชาวบ้านเค้ายอมรับว่ามีความสามารถ มีคุณค่า พูดง่ายๆคือเป็นที่ยอมรับเองในชุมชน คุณไปเอาคนอื่นมาตัดสินได้ไง )


แต่แน่นอนครับว่า อาจจะมีกลั่นกรอง เช่น คนที่จะได้ต้องมีผลงานเป็นรูปธรรมและเป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมงานและผู้บริหาร แต่การกลั่นกรองต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าต้องมีผลงานระดับชาติ พวกนี้เวอร์ครับ จะทำอะไรให้มันอยู่บนฐานของความจริงครับ

ใครที่กำลังจะแย้งช่วยบอกผมหน่อยนะครับว่า ไอ้พวกที่จบโทมาน่ะ นอกจากงานวิจัยที่ไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว เค้ามีผลงานอะไรอีกบ้าง เค้าได้แสดงอะไรบ้างว่าเค้ามีฝีมือ ไม่มีเลย งานวิจัยเป็นแค่เครื่องแสดงว่าคุณมีความรู้ แต่มันไม่ได้บอกเลยว่า เวลาปฏิบัติงานจริงคุณเจ๋งแค่ไหน คุณอาจจะรู้จักส่วนประกอบของเครื่องยนต์ทุกชิ้น อธิบายได้หมด แต่เอาจริงๆคุณซ่อมมันไม่ได้ เพื่ออะไรครับ เกิดประโยชน์อะไร ตอบผมสิครับ

มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นสถานที่ผลิตปัญญาชนควรจะตระหนักถึงข้อนี้ เราควรสนับสนุนให้คนที่มีความสามารถจริงๆได้รับปริญญา เพื่อเป็นการแสดงว่า มหาวิทยาลัยมีกึ่นพอที่จะรู้ว่าคนนี้เก่งจริง สามารถการันตีคนที่มีคุณภาพออกมาให้สังคม ไม่ใช่ผลิตคนที่ดีแต่ปากออกมาเต็มบ้านเมือง นี่คือสิ่งที่มหาวิทยาลัยในอนาคตควรจะกระทำ

และถ้าทำแบบนี้ได้ คนเราจะเริ่มเห็นความศักดิ์สิทธิ์ของปริญญา เช่น โห ไอ้นี่ได้กิตติมศักดิ์สาขาภาษาอังกฤษเว้ย แม่ง ไม่ต้องเรียนก็ได้ปริญญาแสดงว่าเก๋ามาก ต่อจากนั้นช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนในระบบการศึกษาจะหมดไป ไม่ต้องมีเงินก็สามารถมีสิ่งยืนยันได้ว่าเก่งไม่แพ้คนที่เรียนตามหลักสูตร ทุกคนก็จะไม่ต้องทำงานงกๆส่งลูกเรียน แต่จะเน้นเรื่องความสามารถกันมากขึ้น แล้วยังไงต่อเหรอครับ คนเรามันแข่งกันเก่งประเทศก็เจริญสิครับ

ปริญญาบัตรควรเป็นสิ่งที่แสดงถึงความสามารถ อย่าทำให้ปริญญากลายเป็นซิมมือถือเลยครับ